นาย ปิติ ประสงค์การ
รหัสนักศึกษา 581705141
สาขาวิชาการจัดการ
คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
บ้านถิ่นเมืองแพร่
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559
อาหารพื้นเมืองบ้านถิ่น
อาหารพื้นเมืองบ้านถิ่น
อาหารเป็นวัฒนธรรมที่ปรากฏในวิถีชีวิตของชาวจังหวัดแพร่
ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีอยู่มากมายรับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งเป็นพื้น
และนำพืชผักโดยเฉพาะผักพื้นบ้าน เช่น ผักหวาน เห็ดลม เห็ดถอบ เห็ดไข่เหลือง
เห็ดโคน สะแล ขนุน งวม ใบม่วง ออกพร้าว(ยอดมะพร้าวอ่อน) ผักสลิดยอกแซ่ว
มะค้อมก้อม(มะรุม) มะข้าว หน่อไม้ ผักหละ(ชะอม) ผักปั๋ง(ตำลึง) ผักแคบ ผักแค
เป็นต้น เป็นพืชผักที่มีตามฤดูกาลนำมาปรุงอาหาร ซึ่งมีให้รับประทานตลอดปี
การปรุงอาหารมีหลายวิธี เช่น การแกง การจอ การส้า การยำ การเจี้ยว
การหลาม การปิ้ง การป่าม การคั่วหรือผัด
การหลู้การต๋ำ เป็นต้น ทั้งนี้มักจะปรุงให้สุกมากๆ
การปรุงรสอาหารของชาวจังหวัดแพร่ส่วนใหญ่จะมีรสอ่อน หรือรสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว
แต่ไม่หวานมาก ไม่นิยมใส่น้ำตาล
ความหวานส่วนใหญ่จะได้มาจากส่วนประสมที่นำมาประกอบอาหาร เช่น ความหวานจากผัก
ปลาต่างๆ เป็นต้น
อาหารในวิถีของชาวจังหวัดแพร่มีมากมายหลายอย่างชนิด
คล้ายๆกับอาหารเมืองเหนือทั่วไป เช่น ลาบ แกงผัก น้ำพริก ยำจิ้นไก่ จิ้นนึ่ง
งัวน้อยนึ่ง ส้ามะเขือ ต๋ำมะเขือยาว เป็นต้น
อาหารที่ชาวแพร่นิยมกินเคียงกับอาหารหลักอย่างอื่น เช่น แคบหมูไข่มดส้มดอง
แมงมันดอง น้ำปู เป็นต้น ทั้งนี้อาจมีส่วนประกอบหรือกรรมวิธีเล็กๆน้อยๆที่
แตกต่างไปบ้างก็ถือว่าเป็นอาหารเหนือเหมือนกัน
อาหารพื้นเมืองที่ชาวจังหวัดแพร่นิยมบริโภคในชีวิตประจำวัน
อาหารประจำถิ่นของบ้านถิ่น ได้แก่ การทำนาข้าวเหนียว ผลิตจากข้าว เช่น ข้าวแคบ
ข้าวแคบ เป็นอาหารว่าง
ทำจากแป้งข้าวเหนียวหรือข้าวจ้าว นำข้าวมาหมักจนได้ที่
บี้ด้วยมือหรือโม่ให้ป่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน ผสมน้ำ ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย
โรยงาพอประมาณ นำแป้งที่ปรุงแล้วละเลงบนผ้าที่ขึงบนหม้อน้ำเดือด แซะออกตากบนคาไพ
ตากแดดจนแห้งสนิท เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน
นำไปรับประทานโดยการปิ้งไฟอ่อนหรือทอดก็ได้
ผลผลิตจากหน่อไม้ เช่นหน่อโอ่, เมี่ยง , ยำวุ้นหมาน้อย
ยำหน่อไม้ เป็นอาหารประเภทยำ
ใช้หน่อไม้ไร่ต้มสุก ทำเป็นฝอยเส้นเล็กๆ ผสมเครื่องปรุงด้วยพริกหนุ่มหรือพริกขี้หนูสด
นำไปเผาให้สุก กระเทียม น้ำปลาร้าต้มสุก
หรือปลาร้าสับหมกไฟให้สุกอาจใส่งาคั่วที่โขลกให้พอแตกก็ได้ โรยด้วยต้นหอม ใบขิง
ใบแมงลัก เวลารับประทาน อาจปรุงด้วยน้ำปู หรือไม่ก็ได้แล้วแต่ชอบ ผักเครื่องเคียง
ได้แก่ ฝักมะริดไม้เผา (มะริดไม้ เป็นภาษาถิ่นเหนือ ภาษากลางหมายถึง ฝักเพกา)
ใบขิงแมงดา ผักปู่ย่า ผักแว่น แตงกวา เป็นต้น
เมี่ยง เมี่ยงเป็นพืชตระกูลเดียวกับใบชา
ชาวจังหวัดแพร่เก็บใบอ่อนมานึ่ง แล้วหมักให้มีรสอมเปรี้ยวอมฝาด
เวลาจะรับประทานดึงเส้นกลางใบออก นำมาห่อไส้เมี่ยง ซึ่งประกอบด้วย เกลือ ขิงอ่อน
มะพร้าวคั่ว บางแห่งใส่กระเทียมดองด้วย เรียกว่า “เมี่ยงส้ม” ส่วนเมี่ยงหวานนั้น นำใบเมี่ยงที่นึ่งแล้วหมักกับน้ำกระเทียมดองและน้ำตาล
ห่อไส้เมี่ยง โดยไม่ใส่ขิงอ่อน ส่วนเกลือจะใส่หรือไม่ก็ได้ นิยมกินเป็นอาหารว่าง และรับประทานหลังอาหารหรือใช้รับแขกทั่วไป
ประเพณีบ้านถิ่น
ประเพณีงานแต่งงานแบบไทลื้อ
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป ความงดงามของวัฒนธรรม ประเพณีงานแต่งงาน
ของชาวไทลื้อ ที่ชุมชนบ้านถิ่น อ.เมือง จ. แพร่ แต่สำหรับที่นี่แล้ว
วัฒนธรรมที่ดีงามยังคงอยู่ หนุ่มสาวใช้ชีวิตตามวิถีคนเมือง แต่เมื่อถึงเวลามีคู่ครองบรรดาหนุ่มสาวชาวไทลื้อ
ก็ยังคงสืบสานประเพณีการแต่งงานแบบดั้งเดิมเอาไว้
“ลื้อ” เป็นกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไท คือ “ไทลื้อ” หรือ “ไตลื้อ” มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองปันนาสำหรับประเทศไทย
ชาวไทลื้อได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามหัวเมืองต่างๆในภาคเหนือตอนบน
ในจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และ เชียงใหม่
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
แต่ลูกหลานชาวไทลื้อก็ยังคงไม่ลืมรากเหง้าและวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม ที่บรรพบุรุษได้สืบทอดต่อกันมาช้านาน
เมื่อตัดสินใจจะมีคู่ครอง ก็เลือกที่จะจัดงานแต่งตามแบบฉบับของชาวไทลื้อ
ผู้ที่มาร่วมงานแต่งต่างก็แต่งตัวตามประเพณี ผู้หญิง จะสวมเสื้อแขนยาวสีดำ หรือ
สีน้ำเงิน ที่เรียกว่า “เสื้อปั๊ด” นุ่งผ้าถุง โพกศีรษะด้วยผ้าฝ้ายสีขาวหรือสีชมพู
ส่วนผู้ชายใส่เสื้อแขนยาว สวมเสื้อกั๊กปักลวดลาย สวมกางเกงม่อฮ่อมขายาวโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวหรือชมพู
และสะพายถุงย่าม
ที่เห็นอยู่นี้นับเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดของพิธีแต่งงาน
พ่อแม่ของฝ่ายหญิงต้องมาที่บ้านฝ่ายชาย
เพื่อบอกกล่าวขอลูกเขยจากพ่อแม่ฝ่ายของชายเสียก่อน
สาเหตุที่ขั้นตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็เพราะหากพ่อแม่ฝ่ายชายไม่ยอมยกลูกชายให้
หนุ่มสาวก็ไม่สามารถแต่งงานกันได้นั่นเอง
หลังจากพ่อแม่ฝ่ายชายตอบตกลงก็จะตั้งขบวนแห่เขย โดยมีขบวนช่างฟ้อน และ
ช่างสะล้อซอซึง บรรเลงดนตรีประกอบการร่ายรำแบบไทลื้อ นำขบวนผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย
พร้อมด้วยญาติมิตร ที่ล้วนแต่งกายด้วยชุดไทลื้อ อย่างงดงามตามประเพณี
ไปยังเรือนของเจ้าสาว
และเมื่อมาถึงเรือนเจ้าสาว ผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงจะดักกั้นที่หน้าประตู
ซักถามว่ามาทำอะไรกัน มีทองคำ เพชรพลอย มาให้เจ้าสาวหรือเปล่า
เปรียบเทียบเหมือนกับการกั้นประตูเงินประตูทองนั่นเอง เมื่อได้คำตอบแล้ว
จึงอนุญาตให้เจ้าสาวที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาหาเจ้าบ่าวได้
โดยเจ้าบ่าวก็จะถูกพาไปซ่อนไว้เช่นกัน
เจ้าสาวก็ต้องตามหาให้เจอเพื่อแสดงถึงความรักแท้ ก่อนจูงมือกันเข้าสู่เรือนหอ
พิธีเริ่มด้วยการกราบพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่าย
เพื่อขอบคุณที่อนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกัน จากนั้นก็มอบสินสอดให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง
ประธานในพิธีคล้องมาลัยและสวมมงคลให้บ่าวสาว จากนั้นเป็นพิธีบายศรีสู่ขวัญ
หรือตามภาษาไทลื้อเรียกว่าพิธี “สู่ข้าวเอาขวัญ” โดยผู้ทำพิธีก็จะบอกกล่าวบรรพบุรุษขอให้คุ้มครองให้บ่าวสาวครองเรือนอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
สำหรับประเพณีไทลื้อนั้นจะไม่มีการรดน้ำสังข์เหมือนกับประเพณีการแต่งงานของไทย
แต่พ่อแม่ ผู้ใหญ่แขกเหรื่อที่มาร่วมงานจะใช้วิธีการผูกข้อมือให้บ่าวสาว
ความหมายของการผูกข้อมือ คือ การที่ผู้ใหญ่เอาใจมาช่วย
มาอวยพรให้ทั้งคู่อยู่ติดกันชั่วชีวิต
จากนั้นก็ได้เวลาส่งตัว ประธานงานแต่งจะจูงมือบ่าวสาวเข้าห้องหอ
พร้อมพูดเตือนสติ สั่งสอน และอวยพร
ตามด้วยพ่อแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวอวยพรให้กับทั้งคู่
ก่อนจะออกจากห้องหอเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องช่วยกันดึงเส้นด้ายที่ผูกข้อมือออก
ห้ามใช้กรรไกรหรือของมีคมตัดเด็ดขาด ซึ่งเป็นการสอนให้ทั้งคู่มีความอดทน มานะ
พยายาม ซึ่งเป็นการวัดอย่างหนึ่งว่าทั้งคู่จะรักกันไปตลอดได้หรือไม่
ถ้าใช้กรรไกรหรือของมีคมตัดก็เท่ากับว่าทั้งคู่ตัดขาดจากกันนั่นเอง
ในพิธีแต่งงานก็จะประดับและตกแต่งด้วยตุง 12 ราศี ที่ตั้งไว้รอบบ้าน
ความหมายก็คือ ให้ 12 นักษัตรคุมครองปกปักษ์รักษาคู่บ่าวสาวให้อยู่เย็นเป็นสุข
ตุงลื้อ นี้คือ สัญลักษณ์ที่นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญรุ่งเรือง
ส่วนตุงชัย ความหมายคือ ขอให้มีชัยชนะ ศัตรูพ่ายแพ้ไปนั่นเอง
พิธีแต่งงานของชาวไทลื้อนั้นเรียบง่ายและแสดงให้เห็นถึงความเคารพบรรพบุรุษ
ซึ่งเป็นความงดงามที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวไทลื้อพยายามที่จะถ่ายทอดและปลูกฝังให้กับลูกหลาน
มาวันนี้คนรุ่นเก่าต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจ
ที่บรรดาลูกหลานยังคงช่วยกันและสืบสานประเพณีดั้งเดิมนี้เอาไว้
จากประเพณีงานแต่งงานของชาวไทลื้อ
จะเห็นว่าบรรพบุรุษของชาวไทลื้อได้สอดแทรกคำสั่งสอนและแง่คิดในการใช้ชีวิตคู่ให้กับลูกหลานไว้มากมาย
ที่สำคัญยังปลูกฝังให้ลูกหลานแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ พ่อแม่ และผู้ใหญ่
นับเป็นสิ่งที่งดงามและทำให้ชุมชนชาวไทลื้อยังคงเหนียวแน่นมาจนถึงทุกวันนี้
ศิลปวัฒนธรรมบ้านถิ่น
วิถีชีวิต บ้านเรือนที่อยู่อาศัย
รวมไปถึงการทอผ้า ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญที่บรรพบุรุษไทลื้อ
ที่ได้ถ่ายทอดสู่ลูกหลาน และคงอยู่มาจนถึงยุคปัจจุบัน
บ้านไม้ยกใต้ถุนสูง ที่ดูสวยงามแปลกตานี้ คือบ้านไทลื้อแบบดั้งเดิม ที่สมาชิกสภาวัฒนธรรมตำบลบ้านถิ่น จ.แพร่
จำลองมาจากบ้านไทลื้อ สิบสองปันนา ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวไทลื้อ โดยตั้งอยู่ภายในวัดถิ่นใน ตำบลบ้านถิ่น
อำเภอเมืองแพร่ จ.แพร่ เพื่อให้ลูกหลานชาวไทลื้อได้ศึกษาและรู้ถึงรากหง้า
วิถีชีวิต ของชาวไทลื้อแต่เก่าก่อน
เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีบ้านลักษณะเช่นนี้หลงเหลือให้เห็นในชุมชนแล้ว
เอกลักษณ์สำคัญของบ้านไทลื้อ คือไม่มีการตอกตะปู สร้างจากไม้สัก ไม้เต็ง และ ไม้รัง จำนวนขั้นบันไดต้องเป็นเลขคี่ ได้แก่ 7 หรือ 9
ขั้น
หากจำนวนขั้นบันไดเป็นเลขคู่จะไม่เป็นสิริมงคล เพราะถือว่าเป็นบ้านของคนตาย
การแบ่งสัดส่วนภายในบ้านนั้นเรียบง่าย
ข้างล่างเป็นใต้ถุน ส่วนด้านบนนั้นจะมีลานสำหรับปลูกพืชพักสวนสวนครัว
ยกระดับเป็นที่นั่งพัก และมีมุมเล็กๆตั้งเตาไฟไว้สำหรับทำครัว ส่วนห้องนอน
จะอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน ภายในห้องนอนนั้นถือเป็นที่ส่วนตัว
หากเจ้าของบ้านไม่อนุญาตคนนอกห้ามเข้าเด็ดขาด
และมีม่านกั้นห้องนอนตามธรรมเนียม
ซึ่งสีของม่านนั้นจะใช้ สีขาว สีแดง หรือไม่ก็ใช้ผ้าลายดอกเท่านั้น
ที่น่าสนใจ คือ ลักษณะของหน้าต่าง บ้านไทลื้อจะเรียกหน้าต่างว่า
"ประตูป่อง" ซึ่งเป็นหน้าต่างแบบฝาเลื่อนแบบนี้
ที่บ้านไทลื้อหลังนี้
ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งก่อสร้าง แต่ที่นี่..ยังเป็นศูนย์รวมของชาวไทลื้อในชุมชน
ที่พยายามอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมของชาวไทลื้อเอาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่จะมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อถ่ายทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
ให้กับลูกหลานรุ่นหลัง
ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง
ที่สอดแทรกวิถีชีวิตเรื่องอาหารการกินพื้นบ้านไว้ในบทเพลง เช่นเพลง
"ลำนำชนบท" เพลงนี้
รวมไปถึงการทอผ้า หรือที่เรียกว่า
ตอหูกถุงหมาก โดยในสมัยโบราณผู้หญิงชาวไทลื้อทุกคนจะต้องทอผ้าเป็นและเย็บถุงหมากได้
มาวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่เกรงว่าวัฒนธรรมนี้จะเลือนหายไป จึงรวมตัวกันตั้งกลุ่มทอผ้าและทำถุงหมากขึ้น
เพื่อถ่ายทอดให้กับลูกหลาน
และด้วยความที่มีฝีมือในเรื่องการเย็บปักถักร้อยและการประดิษฐ์
กลุ่มผู้สูงอายุไทลื้อบ้านถิ่น ยังได้ตั้งกลุ่มศิลปะประดิษฐ์ผู้สูงอายุ
เพื่อสร้างรายได้เสริมอีกด้วย
ข้อมูลทั่วไปบ้านถิ่น
พื้นที่
ตำบลบ้านถิ่น
ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองแพร่ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 17.230
ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ
ทางด้านตะวันออกเป็นภูเขาสูง
เขตพื้นที่
ทิศเหนือ ติดกับ ตำบลร่องฟอง และ ตำบลนาชำ
อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลส่วนเขื่อน และ ตำบลกาญจนา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลร่องฟอง และ ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศใต้ ติดกับ ตำบลส่วนเขื่อน และ ตำบลกาญจนา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศตะวันออก ติดกับ ตำบลสวนเขื่อน อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ทิศตะวันตก ติดกับ ตำบลร่องฟอง และ ตำบลเหมืองหม้อ อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
อาชีพ
อาชีพหลัก ค้าขายและเกษตรกรรม
สาธารณูปโภค
จำนวนครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้ในเขต อบต. 1,744 ครัวเรือน
จำนวนบ้านที่มีโทรศัพท์ 793 หลังคาเรือน คิดเป็นร้อยละ 45.00
ของจำนวนหลังคาเรือน
การเดินทาง
เดินทางโดยรถยนต์ รถจักรยาน และรถโดยสารประจำทาง
เดินทางตามถนนสายทุ่งโฮ้ง – ป่าแดง เป็นระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร
ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 15 นาที จากตัวเมือง
การศาสนาและวัฒนธรรม
|
||||||||||
ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลบ้านถิ่นส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
เทศบาลตำบลบ้านถิ่น สนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับวัน สำคัญทางศาสนา
และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ประเพณีที่สำคัญ เช่นประเพณีสรงน้ำพระบูรพาจารย์
งานนมัสการพระบรมธาตุ ถิ่นแถนหลวง โดย มีวัดจำนวน 4 แห่ง ได้แก่
อ้างอิง
http://www.banthin.go.th/social.php
|
ประวัติความเป็นมาของชาวไตลื้อบ้านถิ่น
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ประวัติความเป็นมาของชาวไตลื้อบ้านถิ่น ราษฎรชาวไตลื้อบ้านถิ่น
ดั้งเดิมนั้นสันนิษฐานว่าได้อพยพมาจากเมืองยอง (ลื้อเขิน)
ในแคว้นสิบสองปันนาอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ปัจจุบัน
บ้านถิ่นเป็นบ้านของคนไตลื้อที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง ได้แก่ ภาษาไตลื้อ มีศิลปะการแต่งกาย
มีลีลาการฟ้อนรำ
มีฝีมือทางด้านหัตถกรรมทอผ้าและการประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ที่สวยงาม
จากตำนานคนยองเมืองหละปูนของ แสวง มาละแชม
กล่าวถึงการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยองในภาคเหนือของไทยว่า
อยู่ในช่วงสมัยที่กษัตริย์ในราชวงศ์มังรายอ่อนแอ บ้านเมืองแตกแยก วุ่นวายอย่างหนัก
พม่าได้เข้ามามีอำนาจในแผ่นดินล้านนา ได้ตั้งเจ้าเมืองขึ้นมาปกครองเมืองใหญ่
เช่นเมืองเชียงใหม่ เชียงแสน เมืองแพร่และเมืองน่าน
พม่าได้กวาดต้อนผู้คนจากเชียงใหม่ ลำพูน ไปอังวะ ทำให้ผู้คนแถบลำพูนเบาบางลง
พม่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเมืองลำพูน โดยไม่ตั้งเจ้าเมืองมาปกครอง
จึงเกิดมีผู้นำท้องถิ่นชาวลำพูนได้ฉวยโอกาสและหาจังหวะก่อความไม่สงบ
แข็งข้อต่อพม่าอยู่หลายครั้งจนฝ่ายพม่าเริ่มเสื่อมอำนาจลง พระเจ้ากาวิละ
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ สมัยเป็นพญากาวิละ ผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่งของลำพูน
ได้รวบรวมผู้คนจากหัวเมืองต่างๆ ทางตอนบนถึง ๑๑ ครั้ง มาอยู่ในเมืองลำพูน
เพื่อต่อสู้กับพม่าผู้รุกรานที่ยึดครองเมืองเชียงใหม่อยู่
จนสามารถขับไล่พม่าไปได้สำเร็จ แล้วนำไพร่พลไปอยู่เมืองเชียงใหม่
ทำให้ลำพูนมีผู้คนน้อยลงมาก
พระเจ้ากาวิละมีความต้องการให้เมืองเชียงใหม่มีความมั่นคงยิ่งขึ้น
จึงเริ่มมีความพยายามกวาดต้อนผู้คนมาตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๓๒๕
ต้องการรวบรวมกำลังคนให้เป็นปึกแผ่น หรือที่เรียกว่า “ ยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง ” จึงได้เกิดสงครามการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองอื่น
ทางตอนเหนือมาอยู่ลำพูน ซึ่งรวมถึงเมืองยองหลายบ้านหลายเมือง ในแคว้นสิบสองปันนาด้วยการย้ายถิ่นฐานการอพยพและการถูกกวาดต้อนที่เกิดขึ้นกับผู้คนจากเมืองยองเป็นจำนวนมากมีจำนวนเป็นหมื่นและบ่อยครั้งในสมัยนั้น
ได้พบอุปสรรคในการเดินทางหลายอย่าง
ต้องเดินทางผ่านป่าเขาและแม่น้ำตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บ
การเดินทางเป็นไปโดยความลำบากและต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวนานจึงสันนิษฐานได้ว่า
อาจมีการแอบลักลอบหนีในระหว่างการเดินทาง
จนเป็นสาเหตุให้คนยองบางส่วนได้หยุดตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเส้นทางการอพยพ
ซึ่งบ้านถิ่นถือว่าเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง
ที่ชาวยองแอบหนีการกวาดต้อนมาหยุดตั้งถิ่นฐานแห่งนี้ จากประวัติวัดทั่วประเทศบันทึกไว้ว่า
วัดถิ่นในตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๓๓๒
จากเดิมที่มีไม่กี่ครอบครัว ก็เริ่มขยายออกเป็นจำนวนครัวเรือนที่มากขึ้นตามลำดับ
กลายเป็นหมู่บ้านหลายหมู่บ้านขึ้นมา พร้อมทั้งเรียกตัวเองว่า เป็นคนบ้านถิ่น
ตามสถานที่ที่เคยอยู่ที่เมืองยองแคว้นสิบสองปันนา
ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของพ่อกำนันแก้ว ธรรมสรางกูร ว่า ชาวไตลื้อบ้านถิ่น
เดิมเป็นชาวลื้อเมืองยองแคว้นสิบสองปันนา เขตเชียงตุง
(สมัยนั้นเชียงตุงอยู่ในเขตแคว้นสิบสองปันนา)
เมืองยองอยู่ทางทิศตะวันออกของเชียงตุง สำหรับสาเหตุการอพยพ จำนวนผู้อพยพและอพยพมาในปี
พ.ศ.ใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าคนสมัยก่อนนั้นอาจเกิดสงคราม
มีการกวาดต้อนเชลยศึกมาเป็นข้ารับใช้ในบ้านเมืองของตนเองจากคำบอกเล่าของพ่อแก้วที่อ้างถึงการเล่าขานต่อกันมาจากพ่อกำนันตาล
ธุรกิจ พ่อผู้ใหญ่จันดี ถิ่นสอน และพ่ออาจารย์มี ธุรกิจ เล่าให้ฟังว่า
คราวที่ถูกเกณฑ์ไปรบเชียงตุงในสงครามอินโดจีน ได้ไปพักอาศัยอยู่ในเมืองยอง
มีบ้านอยู่บ้านหนึ่งชื่อว่า “บ้านถิน” (ไม่มีไม้เอก)บ้านถินนั้นเขามีขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ
เหมือนกับบ้านถิ่น สมัยก่อนที่ผู้หญิ่งนุ่งซิ่นแหล้ (หัวซิ่นสีขาว) มีผ้าขาวโพกหัว
ผู้ชายนุ่งผ้าต้อยบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็มี “แป้นต้อง” เป็นเขตหวงห้ามของการถือผีบ้านผีเรือนในเรือนที่อยู่ของตน
พ่ออาจารย์มี ธุรกิจ ได้ชักชวนชาวบ้านถิน ชื่อไอ้แปง ให้ติดตามกลับมาด้วย
ไอ้แปงใช้ภาษาพูดของเขาเป็นแบบดั้งเดิม เช่น คนบ้านถิ่นเรียก “วัว” ว่า “โง” แต่ไอ้แปงเรียกเพี้ยนว่า
“โง่” จากคำบอกเล่าของ
พ่ออาจารย์สะอาด ถิ่นทิพย์ ได้บันทึกไว้ว่า คนยองบ้านถิ่นได้อพยพมาจากเมืองลำพูน
ป่าซาง(ลื้อเมืองยอง)
ในสมัยที่เกิดมีข้าศึกรุกรานเมืองเชียงใหม่และลำพูนเป็นเมืองอยู่ในอาณาเขต
เดียวกับเมืองเชียงใหม่จึงถูกรุกรานไปด้วยชนเผ่าลื้อยองเป็นชนที่รักความสงบ
ไม่ชอบมีเรื่องราวยุ่งกับใคร จึงเกิดมีคนในเผ่าบางส่วนประมาณ ๓๐- ๕๐ คน
ได้รวมกันอพยพหนีการรุกรานมาทางเมืองโกศัย (แพร่) มาพบสถานที่
ที่อุดมสมบูรณ์บริเวณบ้านถิ่นปัจจุบัน จึงตั้งรกรากประกอบอาชีพ ทำมาหากิน อยู่อย่างสงบจนมีประชากรเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
เมื่อมีคนหมู่มากเกิดขึ้น จึงเกิดมีปัญหาตามมามากมายหลายอย่าง
ต้องมีหัวหน้าเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ชาวบ้านได้ขยายอาณาเขตการทำมาหากินและที่อยู่อาศัยกว้างขวางมากขึ้น
จึงแยกการปกครองออกเป็นแคว่น ๆเช่น แคว่นบ้านเหล่าเหนือ แคว่นบ้านเหล่าใต้
แคว่นบ้านเหล่ากลาง แคว่นบ้านใน แต่ละแคว่นมีหัวหน้าคอยดูแลแคว่นของตนเองเรียกว่า “หลักบ้าน”(ผู้ใหญ่)และถ้าแคว่นใด
มีประชากรหนาแน่นก็ตั้งให้หัวหน้าแคว่นใหญ่ ซึ่งเลือกจากคนสูงอายุ
และเป็นที่เคารพนับถือของทุกแคว่น เป็น “ปู่แคว่น” (กำนัน) สมัยก่อน การเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นประชาธิปไตย
ชาวบ้านคัดเลือกกันเองไม่มีคนอาสา ไม่มีการสมัครกันล่วงหน้า ไม่มีใครอยากเป็นหลัก
เป็นแคว่น เพราะเมื่อเป็นแล้ว “มีคนรักเท่าผืนหนัง
มีคนชังเท่าผืนเสื่อ” แรกเริ่มเดิมทีนั้น
บ้านถิ่นมีเพียงหมู่บ้านเดียวคือทั้งหมดคือหมู่ที่ ๑ ต่อมามีประชากรมากขึ้น
ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายหมู่บ้านเป็นหมู่ ๒ หมู่ ๓ หมู่ ๔ หมู่ ๕ หมู่ ๖ หมู่ ๗
และหมู่ ๘ ตามลำดับ (หมู่ ๔- ๖ -๑๐) เรียกว่าบ้านโป่งศรีเป็นไทล้านนา
อ้างอิง
http://www.banthin.go.th/social.php
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)